วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

รวมคำศัพท์การลงทุน

รวมรวมคำศัพท์การลงทุน พร้อมตัวอย่างอธิบาย


EBITDA: EARNINGS BEFORE INTEREST, TAXES, DEPRECIATION AND AMORTIZATION
กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย

EBITDA เป็นตัวเลขวัดความสามารถในการทำกำไรจากการดำเนินงานของบริษัท ซึ่งไม่รวมผลกระทบจากต้นทุนทางการเงิน นโยบายทางการบัญชีเและภาษี เป็นตัววัดที่ตรงไปตรงมา เหมาะสำหรับใช้ในการวิเคราะห์ความสามารถในการทำกำไรระหว่างกิจการหรือระหว่างอุตสาหกรรมได้เป็นอย่างดี เช่น อัตราส่วน EBITDA ต่อยอดขาย ถ้าอัตราส่วนนี้ยิ่งสูง ยิ่งบ่งบอกถึงความสามารถในการทำกำไรที่มาก

มีสูตรการคำนวณดังนี้ 
EBITDA = รายได้ - ค่าใช้จ่าย (ไม่รวมดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย)

กำไรขั้นต้น คือ



วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2565

การตรวจสอบสถานะหุ้นกู้

ความกังวลในช่วงเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวกลับ หรือมีแนวโน้มจะแย่จากภาวะเศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) จึงห่วงว่า

บริษัทต่าง ๆ อาจจะเห็นการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้เพิ่มขึ้น แต่ทางสมาคมเห็นบริษัทผู้ออกหุ้นกู้ของไทยจะใช้วิธีการไปพูดคุยกับทางเจ้าหนี้ผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อขอเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ เช่น ยืดชำระหนี้หุ้นกู้ออกไป ทั้งโดยที่มีการขอจ่ายดอกเบี้ยเพิ่ม หรือไม่จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มก็ตาม

โดยทางสมาคมจะขึ้นเครื่องหมายหุ้นกู้ลักษณะนี้ว่า Restructure: RS แต่การจะขึ้นเครื่องหมายได้จะต้องขอมติอนุมัติไม่ต่ำกว่า 3 ใน 4 จากผู้ถือหุ้นกู้ก่อน และผู้ถือหุ้นกู้เองจะต้องพิจารณาว่าบริษัทอาจจะไม่ได้มีเจตนาเบี้ยวหนี้ แต่ด้วยผลกระทบโควิด-19 ที่กระทบกระแสเงินสดของกิจการไม่เหมือนเดิม ซึ่งที่ผ่านมาก็เห็นหลายบริษัทที่ยืดชำระหนี้ออกไปก็กลับมาจ่ายคืนได้หมด จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ไม่ค่อยเห็นการผิดนัดชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

ส่วนหุ้นกู้ที่มีผิดนัดชำระหนี้จริง ทางสมาคมจะขึ้นเครื่องหมายหุ้นกู้ลักษณะนี้ว่า Default Payment: DP ซึ่งเป็นหุ้นกู้ที่มีปัญหาจริง ๆ ในเรื่องของการบริหารกิจการ

หมายเหตุ

Default Payment คือ

1.ผู้ออกตราสารหนี้ไม่สามารถชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ย ซึ่งถือเป็นเหตุผิดนัดตามข้อกำหนดสิทธิ

2.ผู้ออกตราสารหนี้ไม่สามารถชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ย เนื่องจากอยู่ในสภาวะพักการชำระหนี้ (Automatic stay)

3.สมาคมได้รับแจ้งจากผู้ออกตราสารหนี้ หรือผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ว่ามีเหตุผิดนัดตามข้อกำหนดสิทธิเกิดขึ้น ซึ่งรวมถึงเหตุผิดนัดเนื่องจาก Cross default 

ลิงค์สำหรับการตรวจสอบสถานะหุ้นกู้
https://www.thaibma.or.th/EN/BondInfo/EventSignBond/EventSignBondDetail.aspx

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2565

หุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากวิกฤติน้ำท่วม

จากการที่ปีนี้ประเทศไทยของเราประสบปัญหาน้ำท่วมเกือบจะทุกภาค หลายจังหวัดมีความเสียหายทั้งพื้นที่เกษตรและถนนหนทางเป็นวงกว้าง

เราได้รวบรวมหุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์หลังจากน้ำลด ดังนี้

  1. ซ่อมแซมบ้าน
    1. HMPRO - ธุรกิจค้าปลีก โดยจำหน่ายสินค้าและให้บริการที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง ตกแต่ง ต่อเติม ซ่อมแซม ปรับปรุง อาคาร บ้าน และที่อยู่อาศัยแบบครบวงจร (One Stop Shopping Home Center) โดยใช้ชื่อ โฮมโปร (HomePro) เป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทฯ
    2. DOHOME - ค้าปลีก ค้าส่ง และให้บริการด้านวัสดุก่อสร้าง และอุปกรณ์ตกแต่งบ้านแบบครบวงจร
    3. COTTO - ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องเซรามิกปูพื้นและบุผนังเป็นธุรกิจหลัก ภายใต้เครื่องหมายการค้า COTTO, SOSUCO และ CAMPANA และธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมหนองแค
    4. UMI - ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่าย- กระเบื้องโมเสก ยูเอ็มไอ - กระเบื้องเซรามิคปูพื้น ดูราเกรส - กระเบื้องเซรามิคบุผนัง ดูราเกรส ลีลา
    5. DRT - เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์หลังคา แผ่นผนังและฝ้า ไม้สังเคราะห์ รวมทั้งสินค้าประกอบการติดตั้งหลังคาและสินค้าโครงสร้างของบ้าน พร้อมให้บริการถอดแบบและติดตั้งหลังคา ภายใต้เครื่องหมายการค้า ตราเพชร ตราหลังคา ตราอดามัส และตราเจียระไน
    6. TOA - บริษัทประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวให้กับกลุ่มผู้ใช้งานประเภทลูกค้าทั่วไป โดยแบ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักเป็น 2 กลุ่ม 1. ผลิตภัณฑ์สีทาอาคาร 2. ผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวและผลิตภัณฑ์ประเภทอื่น เช่น ผลิตภัณฑ์เคมีก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์สีที่มีความทนทานสูง และ ผลิตภัณฑ์ที่นอกเหนือจากสีทาอาคารอื่น
    7. DPAINT - ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สีทาอาคาร
  2. ซ่อมแซมถนน
    1. TASCO - บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) ("บริษัทฯ") ได้ก่อตั้งขึ้น ตั้งแต่ ปี 2522 ปัจจุบันบริษัทฯ บริษัทย่อย กิจการร่วมค้า และ บริษัทร่วม ("กลุ่มบริษัทฯ") เป็นผู้นำในการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยางมะตอยสำหรับนำไปใช้ในการก่อสร้างถนน และซ่อมบำรุงผิวการจราจร ทางยกระดับ ผิวทางวิ่งขึ้นลง ของสนามบิน ทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค กลุ่มบริษัทฯ ยังได้ส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังผู้นำเข้าและผู้รับเหมาก่อสร้างและซ่อมบำรุงถนนในทวีปแอฟริกา ออสเตรเลีย และอเมริกาเหนือ
  3. สินเชื่อเพื่อซ่อมแซมบ้าน เช่าซื้อรถ ลงทุนด้านการเกษตร ที่ได้ประโยชน์จากกรณีประชาชนต้องการทุนเพื่อประกอบอาชีพหลังน้ำลด
  4. หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล ที่อาจจะได้กระแสจากการรักษาโรคจากน้ำท่วม

วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2565

สรุปมูลค่าการซื้อขายสุทธิสะสมตามกลุ่มนักลงทุนย้อนหลัง 1 ปี เดือน ก.ย. 2565

มูลค่าการซื้อขายสุทธิสะสมตามกลุ่มนักลงทุนย้อนหลัง 1 ปี

นับจากเดือน ต.ค. 2564 - ก.ย. 2565 พบว่านักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ซื้อสุทธิ ส่วนสถาบันในประเทศเป็นผู้ขายสุทธิ

ณ สิ้นเดือน ก.ย. 2565 พบว่านักลงทุนต่างประเทศเป็นผู้ซื้อสะสมย้อนหลัง 1 ปีสูงสุด

โดยสรุปการซื้อสุทธิในรอบ 1 ปีล่าสุด แบ่งออกได้ดังนี้

สถาบันในประเทศ -138,233.13 ล้านบาท

บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ -80.75 ล้านบาท

นักลงทุนต่างประเทศ 149,033.18 ล้านบาท

นักลงทุนในประเทศ -10,719.30 ล้านบาท

ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.set.or.th/th/market/statistics/investor-type

วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2565

หุ้นตัวแทนขายสินค้าจาก Apple ในไทย มีอะไรบ้าง

หลังจาก Apple เพิ่งเปิดตัวสินค้า iPhone ใหม่ล่าสุดรุ่น iPhone 14 มาดูกันว่ามีหุ้นตัวไหนในตลาดหุ้นไทยที่ขายสินค้าของ Apple กันบ้าง

COM7: Banana IT, Studio7, True Shop by COM7

CPW: .life, iStudio by Copperwired

JMART: Jaymart

SPVI: iStudio by SPVI, mobi by SPVI

SYNEX: ตัวแทนขายส่ง iPhone ในไทย

วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2565

ทำอย่างไรดีเมื่อโอนเงินผิดบัญชี

โอนเงินผิดบัญชี เป็นเรื่องที่ไม่ว่าใครก็ไม่ต้องการให้เกิดขึ้น

แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว เราสามารถทำอะไร แก้ปัญหานี้อย่างไรได้บ้าง พี่ทุยมีคำตอบมาให้ครับ


ขอขอบคุณ: http://www.moneybuffalo.in.th

 

วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2565

ดอกเบี้ยขาขึ้นส่งผลกระทบธุรกิจใดบ้าง

เงินเฟ้อไทยที่เร่งตัวต่อเนื่องทำให้ ธปท. จำเป็นต้องดำเนินนโยบายการเงินตึงตัวมากขึ้น แต่ด้วยเศรษฐกิจไทยที่ยังคงเปราะบาง การดำเนินนโยบายจึงมีความท้าทายอย่างมาก ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ให้น้ำหนักต่อการรักษาเสถียรภาพด้านราคาเป็นสำคัญ การดำเนินนโยบายการเงินในระยะต่อไปจึงมีแนวโน้มตึงตัวมากขึ้น

แต่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในภาวะที่เศรษฐกิจยังคงอ่อนแออาจยิ่งซ้ำเติมให้เกิดความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แม้การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของทั้งภาคธุรกิจและครัวเรือนแต่รายได้กลับลดลงรุนแรงกว่า จึงคาดว่า ธปท. จะใช้แนวทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไปและมีเป้าหมายเพื่อลดเงินเฟ้อคาดการณ์เป็นหลัก เนื่องจากเศรษฐกิจไทยเพิ่งเริ่มฟื้นจากวิกฤตโควิด-19 และยังไม่กลับไปสู่ระดับก่อนเกิดการระบาด

ภาวะตลาดแรงงานยังคงอ่อนแอและภาระหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง การใช้นโยบายการเงินตึงตัวเพื่อควบคุมเงินเฟ้อในภาวะเช่นนี้ อาจสร้างคำถามถึงความพร้อมและความ เหมาะสมของนโยบายที่ควรจะเป็น ซึ่งเป็นความท้าทายอย่างมาก 

ในส่วนของอัตราเงินเฟ้อจะไม่คงอยู่ในระดับสูงเป็นระยะเวลานาน การขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะเงินเฟ้อฝังลึก (Wage-price spiral) ที่จะทำให้อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวสูงจนยากต่อการควบคุม

ศูนย์วิจัยอีไอซี (EIC หรือ Economic Intelligence Center) ของ ธนาคารไทยพาณิชย์  จึงคาดว่า กนง. จะขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้งในช่วงครึ่งหลังของปีนี้เพื่อเป็นการส่งสัญญาณควบคุมเงินเฟ้อ

การขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปและต่อเนื่อง (ขึ้น 2 ครั้งในปี 2022 และอีก 2 ครั้งในช่วงครึ่งแรกของปี 2023 คราวละ 0.25% หรือเฉลี่ยไตรมาส ละ 1 ครั้ง) สามารถลดเงินเฟ้อคาดการณ์ได้ดีที่สุด โดยไม่สร้างแรงกดดันต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยมากจนเกินไป ดังนั้น การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้งในปีนี้จึงเพียงพอและเหมาะสมในการส่งสัญญาณควบคุมเงินเฟ้อคาดการณ์ ท่ามกลางความเสี่ยงในระบบเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับสูง


ผลกระทบโดยตรงผ่านการขึ้นดอกเบี้ย

  • การลงทุน ผู้ประกอบการมีแนวโน้มลงทุนน้อยลง ตามต้นทุนกู้ยืมที่สูงขึ้น และโอกาสการผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้น
  • การบริโภค ภาระหนี้และค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ยสูงขึ้นทำให้บริโภคได้น้อยลง ผู้บริโภคบางส่วนหันไปออมเงินมากขึ้นและเลื่อนการบริโภคออกไป ราคาตราสารหนี้และตราสารทุนที่มีแนวโน้มลดลงยังทำให้ความมั่งคั่ง ของประชาชนลดลง wealth effect) จึงบริโภคลดลง

อัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่าขึ้น

  • ราคาสินค้านำเข้า ราคาสินค้านำเข้าโดยเฉพาะกลุ่มพลังงานปรับลดลง ช่วยทำให้แรงกดดันเงินเฟ้อในประเทศลดลงตาม
  • การส่งออก เงินบาทแข็งค่าขึ้น ทำให้ผู้ส่งออกไทยเสียเปรียบในการแข่งขันด้านราคา  จึงทำให้แนวโน้มส่งออกชะลอลง 


คาดการณ์เงินเฟ้อในระยะต่อไป 

ดอกเบี้ยสูงขึ้นทำให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง ประชาชนจึงปรับคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะต่อไปลง

การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายกระทบต่อการฟื้นตัวของภาคธุรกิจแตกต่างกัน

กำไรของภาคการผลิตและภาคบริการมีแนวโน้มลดลงรุนแรงกว่าภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน สาเหตุหลักมาจากรายได้ที่ลดลงกดดันรายจ่ายภาคเอกชน โดยเฉพาะในหมวดสินค้าคงทน ซึ่งทุกอุตสาหกรรม (ยกเว้นการบริหารราชการ) คาดว่า จะได้รับผลเชิงลบจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบรุนแรงสูงสุด  ได้แก่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจประกันภัย  ธุรกิจการค้า อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และธุรกิจการจัดการน้ำ

ธุรกิจที่มีภาระดอกเบี้ยสูง เช่น ธุรกิจที่พักแรม ธุรกิจบันเทิงและนันทนาการ และธุรกิจการศึกษา ถือเป็นอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงมาก

หากอัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงขึ้น เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะเพิ่มภาระหนี้ธุรกิจและลดความสามารถในการชำระหนี้ จากข้อมูลของกรมธุรกิจการค้า EIC ประเมินความเสี่ยงต่อภาระหนี้ของภาคธุรกิจโดยใช้ความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย ภาระดอกเบี้ยต่อทรัพย์สิน และสัดส่วนหนี้ต่อสินทรัพย์จากข้อมูลทางการเงินรายบริษัทในปี 2020 พบว่า ธุรกิจที่พักแรม ธุรกิจบันเทิงและนันทนาการ ธุรกิจการศึกษา ถือเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่อภาระหนี้สูงที่สุด  

ธุรกิจบันเทิงและนันทนาการ เป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายรุนแรงที่สุด ทั้งจากความเสี่ยงต่อภาระหนี้สูงและความสามารถในการทำกำไรที่ลดลง

แม้การดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัวช่วยลดแรงกดดันด้านราคาได้ แต่ก็ส่งผลให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจปรับชะลอลงเช่นกัน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยังไม่แข็งแกร่งนัก การขึ้นดอกเบี้ยจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยง (Downside risks) ส่งผลต่อแนวโน้มการฟื้นตัวในระยะต่อไป และหากการดำเนินนโยบายตึงตัวเร็วเกินไป ยิ่งอาจทำให้เศรษฐกิจมีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) มากขึ้น ผู้ดำเนินนโยบายจึงจำเป็นต้องเปรียบเทียบผลกระทบจากดอกเบี้ยที่สูงขึ้นอย่างถี่ถ้วน และชั่งน้ำหนักว่าจะให้ความสำคัญต่ออัตราเงินเฟ้อ (เสถียรภาพด้านราคา) หรืออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (เสถียรภาพเศรษฐกิจ) มากกว่ากัน

วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2565

เปิด 3 ฉากทัศน์ผลกระทบเศรษฐกิจไทย จากสงครามรัสเซีย-ยูเครน

นายวิชญายุทธ กล่าวว่า สศช.ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบสถานการณ์เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก รวมทั้งได้รายงานฉากทัศน์ (Scenarios) 3 กรณีที่เกิดจากขึ้นจากความขัดแย้งของสถานการณ์การสู้รบระหว่างรัสเซียกับยูเครน และความขัดแย้งในภูมิภาคอื่นๆ


กรณีที่ 1

ซึ่งเป็นกรณีฐานที่ในปัจจุบันเราเชื่อว่าจะเป็นไปตามกรณีนี้ คือสงครามทางทหารระหว่างรัสเซีย ยูเครนยังเป็นไปอย่างต่อเนื่อง มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจยังคงระดับเดิมหรือเพิ่มระดับความรุนแรงอย่างช้าๆ โดยต่างฝ่ายต่างระมัดระวังผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตร (Sanction) และมาตรการตอบโต้ทางเศรษฐกิจ การทรงตัวหรือการเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ของมาตรการ Sanction ในลักษณะดังกล่าวจะทำให้อุปสงค์และอุปทานน้ำมันดิบในตลาดโลกสามารถปรับตัวได้ทัน เช่นการลดการนำเข้าน้ำมันรัสเซีย แต่รัสเซียสามารถที่จะเปลี่ยนไปเป็นการส่งออกไปยังตลาดอื่นๆ โดยไม่ส่งผลให้อุปทานน้ำมันในตลาดโลกลดลง เช่นที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน

ในกรณีนี้ราคาน้ำมันในตลาดโลกจะค่อยๆ ลดลงในช่วงที่เหลือของปี ตามการปรับตัวของอุปทานน้ำมันในตลาดโลกที่สามารถ reallocate ได้ดี รวมทั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และความวิตกกังวลต่อภาวะความถดถอยของประเทศเศรษฐกิจหลัก ส่วนราคา LNG ยังคงอยู่ในระดับสูงและยังมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ก่อนที่จะเริ่มปรับคัวลดลงในปี 2566 ตามอุปทานที่น่าจะสามารถ reallocate ได้มากขึ้นตามลำดับรวมทั้งการสิ้นสุดลงของฤดูหนาวและเศรษฐกิจโลกที่จะเริ่มชะลอตัวชัดเจนมากขึ้น

ในด้านทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ และประเทศเศรษฐกิจหลัก (สหรัฐ แคนาดา สหราชอาณาจักร) ยังคงมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างน้อยที่สุดจนถึงสิ้นปีเพื่อลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและสร้างความมั่นใจว่าอัตราเงินเฟ้อจะกลับเข้าสู่เป้าหมายของนโยบายการเงินในระยะยาว

ในภาพนี้ เศรษฐกิจโลกในปี 2565 จะขยายตัวสอดคล้องกับประมาณการของหน่วยงานต่างประเทศในปัจจุบัน และชะลอตัวลงอย่างชัดเจนในปี 2566 ตามการปรับทิศทางนโยบายการเงินและวัฎจักรของประเทศเศรษฐกิจหลักเป็นสำคัญ โดยอาจมีเศรษฐกิจหลักบางประเทศปรับตัวเข้าสู่ภาวะถดถอยเล็กๆ แต่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งปี 2565 – 2566 ไม่ถึงขั้นติดลบ อย่างไรก็ตามในกรณีนี้เศรษฐกิจโลกจะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นหลังปี 2566

เศรษฐกิจไทย ในภาพนี้เศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้สอดคล้องกับการประมาณการของหน่ายงานหลักด้านเศรษฐกิจ  (สศช ธปท. สศค.) เงินเฟ้อค่อยๆ ปรับตัวลดลง ดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเกินดุลอย่างช้าๆ ในปี 2566 โดย สศช.คาดว่าจีดีพีในปีนี้จะขยายตัวได้ในช่วง 2.5 – 3.5% ค่ากลางที่ 3%


กรณีที่ 2

เป็น Low case scenario  สงครามทางทหารยังเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและมาตรการตอบโต้ขยายขอบเขตเพิ่มเติมจนทำให้อุปสงค์และอุปทานน้ำมันดิบและสินค้าสำคัญอื่นๆ ในตลาดโลกไม่สามารถปรับตัวได้ทัน 

ในกรณีนี้ราคาน้ำมันและราคาสินค้าสำคัญๆ ในตลาดโลกจะค่อยๆ กลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้งในช่วงที่เหลือของปี ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ และประเทศเศรษฐกิจหลักยังมีความจำเป็นที่จะต้องปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยมากกว่าในกรณีแรก ก่อนที่จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในปีหน้าตามการเพิ่มขึ้นของสัญญาณความเสี่ยงต่อ Recession

ในภาพนี้เศรษฐกิจโลกปี 2566 มีแนวโน้มที่จะขยายตัวต่ำกว่ากรณีแรก (ขึ้นอยู่กับสินค้าและมาตรการที่นำมาตอบโต้กัน)  ในกรณีนี้เศรษฐกิจยูโซโซน สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ มีความเสี่ยงและสัญญาณการเข้าสู่ Recession มากขึ้นซึ่งจะส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกในปี 2566 ปรับตัวลดลงมากกว่ากรณีแรก

ในกรณีนี้เศรษฐกิจไทย ปี 2565 และ 2566 ขยายตัวต่ำกว่ากรณีแรก อัตราเงินเฟ้อปี 2565 สูงกว่ากรณีแรกเล็กน้อย ก่อนที่จะลดลงมากหรือมีเงินเฟ้อติดลบในปี 2566 ในขณะที่ดุลเดินสะพัดกลับมาเกินดุลมากกว่าในกรณีแรก


กรณีที่ 3

เป็น Worst case scenario ซึ่งยังมีความเป็นไปได้น้อยแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์ที่ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีนมีความชัดเจนมากขึ้น โดยในกรณีนี้ เป็นกรณีที่ความขัดแย้งขยายขอบเขต เริ่มมีการแบ่งขั้วอำนาจออกจากกันและแต่ละขั้วร่วมมือกันอย่างชัดเจนมากขึ้นระหว่างขั้วที่มีสหรัฐและพันธมิตรเป็นแกนนำ และระหว่างขั้วอำนาจที่มีรัสเซียและจีนเป็นแกนนำ ในกรณีนี้ ปัญหาจะมีความสลับซับซ้อนมากขึ้นและมีแนวโน้มที่จะทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอยในระยะแรก และขยายตัวในเกณฑ์ต่ำสลับกับ recession เป็นระยะๆ ตามความรุนแรงของมาตรการตอบโต้ระหว่าง 2 ขั้วเศรษฐกิจหลักและการเพิ่มขึ้นของความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์

ในกรณีนี้ ราคาพลังงาน ราคาอาหาร และราคาสินค้าโภคภัณฑ์  จะปรับตัวเพิ่มขึ้นและอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง เริ่มมีการขาดแคลนพลังงานและอาหาร รวมทั้งสินค้าสำคัญๆ ในตลาดโลกอย่างชัดเจน เศรษฐกิจของประเทศเศรษฐกิจหลักและเศรษฐกิจโลกในภาพรวมในระยะสั้นจะหดตัวชัดเจนและรุนแรง และขยายตัวในเกณฑ์ต่ำสลับกับภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ เป็นระยะๆ ตลอดหลายปีข้างหน้า ตามความรุนแรงของมาตรการตอบโต้ระหว่าง 2 ขั้วเศรษฐกิจหลักและการเพิ่มขึ้นของความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจะส่งผลกระทบต่อการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ รวมทั้งการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจที่เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลกในระยะยาว ในขณะที่ราคาน้ำมัน อัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกไม่สามารถปรับตัวลดลงหรือเข้าสู่ stagflation คล้ายๆ กับในช่วงปี 1970 – 1980

สำหรับในกรณีนี้เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบรุนแรง เนื่องจากเศรษฐกิจไทยพึ่งพิงและมีความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจเศรษฐกิจโลกสูง (การค้า การท่องเที่ยว การลงทุน ห่วงโซ่การผลิต ตลาดทุน การพึ่งพิงพลังงาน) อัตราเงินเฟ้อทรงตัวในระดับสูง ในขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลต่อเนื่องและการขาดดุลการคลังกว้างขึ้นและทำให้แรงกดดันจากปัญหาการขาดดุลแฝดรุนแรงมากขึ้น

ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1020452

วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2565

ผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อ

หลังจากได้ทราบแล้วว่าภาวะเงินเฟ้อคืออะไร บทความนี้เราจะมาเรียนรู้ผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อ ว่าส่งผลกระทบต่อประชาชน นักลงทุนและประเทศชาติอย่างไรบ้าง

ผลกระทบจากเงินเฟ้อ

ผลต่อประชาชนทั่วไป

รายจ่ายหรือภาระค่าครองชีพสูงขึ้น ทำให้ประชาชนมีอำนาจซื้อน้อยลง มีความสามารถจับจ่ายซื้อสินค้าและบริการได้น้อยลง และอาจทำให้รายได้ที่มีหรือเงินที่หามาได้ไม่เพียงพอกับการยังชีพ

อัตราเงินเฟ้อยิ่งสูง จะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยที่หักเงินเฟ้อออก หรือที่เรียกว่า อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง จะมีค่าลดลงไป เนื่องจากดอกเบี้ยที่เราได้รับเอาไปใช้ซื้อของได้น้อยลง

ยกตัวอย่าง กรณีที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ร้อยละ 1.5 ต่อปีแต่หากอัตราเงินเฟ้อหรือราคาเพิ่มขึ้นมาร้อยละ 1 อาจกล่าวได้ว่าอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงหรือผลตอบแทนสุทธิที่ได้รับจริงๆ อยู่ที่ร้อยละ 0.5 ต่อปีเท่านั้น

แต่หากปีต่อไป อัตราดอกเบี้ยเงินฝากยังเท่าเดิม แต่อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นไปอยู่ที่ร้อยละ 2 อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงจะกลายเป็นร้อยละ - 0.5 ต่อปี ซึ่งถือว่ากำลังซื้อของผู้ฝากเงินลดลง

การฝากเงินทำให้ได้รับผลตอบแทนจริงๆ ติดลบ ทำให้ผู้ฝากไม่อยากออมเงิน และอาจหันไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เช่น ทองคำ อสังหาริมทรัพย์และหุ้น เป็นต้น ทำให้ต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นด้วย หากไม่มีความรู้เพียงพอในการบริหารจัดการ ก็อาจทำให้เกิดเป็นภาระหนี้สินได้


ผลต่อผู้ประกอบการ / นักธุรกิจ

เมื่อสินค้ามีราคาแพงขึ้น ยอดขายก็จะลดลง ในขณะเดียวกัน ต้นทุนการผลิตก็จะสูงขึ้นด้วย ส่งผลให้เจ้าของธุรกิจบางรายอาจตัดสินใจชะลอการผลิต ลดการลงทุนและการจ้างงาน ทำให้คนตกงานมากขึ้น

ความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจในประเทศลดลง เนื่องจากราคาสินค้าส่งออกของเราจะสูงขึ้นเมื่อเทียบกับราคาสินค้าออกของประเทศอื่นๆ


ผลต่อประเทศ

ในภาวะที่ประชาชนซื้อของน้อยลง ธุรกิจไม่สามารถขายของได้ การลงทุนเพื่อผลิตสินค้าก็จะชะลอออกไป ทำให้การพัฒนาศักยภาพการผลิตของประเทศในระยะยาวอาจชะลอลงตามไปด้วย

ถ้าอัตราเงินเฟ้อสูงจนทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบนานๆ ประชาชนก็จะหันไปเก็งกำไรในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง สะสมปัญหาฟองสบู่ในสินทรัพย์ต่างๆ (asset price bubble) และความไม่สมดุลในภาคการเงินของประเทศได้เช่น หนี้ครัวเรือน


ที่มา: https://www.bot.or.th

วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2565

เปรียบเทียบการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางแต่ละประเทศ ปี 2022

หลังจากได้ยินข่าวเรื่องภาวะเงินเฟ้อกันมาสักพักตั้งแต่ต้นปีและธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ก็ได้มีการทยอยปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเพื่อรับมือกับภาวะเงินเฟ้อในประเทศ

มาดูสรุปกันว่าปัจจุบันแต่ละประเทศปรับขึ้นดอกเบี้ยกันไปเท่าไรแล้วบ้าง นับจากต้นปี 2022 ตามตารางนี้ครับ


ที่มา: Central banks, Nikkei Asia research 

บทความที่น่าสนใจ